วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

บีบอย


คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง”เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)–นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า”Charlie Rock” อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil’ Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่’Rock Steady Crew’ , ‘NYC Breakers’ , ‘Dynamic Rockers’ , ‘United StatesBreakers’ , ‘Crazy Breakers’ , ‘Floor Lords’ , ‘Floor Masters’ , ‘IncredibleBreakers’ , ‘Magnificent Force’ ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ
คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง”เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)–นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า”Charlie Rock” อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil’ Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่’Rock Steady Crew’ , ‘NYC Breakers’ , ‘Dynamic Rockers’ , ‘United StatesBreakers’ , ‘Crazy Breakers’ , ‘Floor Lords’ , ‘Floor Masters’ , ‘IncredibleBreakers’ , ‘Magnificent Force’ ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ–Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ “Style Wars” และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น “Roxy” คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ “Flashdance” เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ “Buffalo Gals” ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง”Wild Style” ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง”Beat Street” เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน “Swatch Watch NYC Fresh Tour”ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ “Breakin” ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย”Breakin 2: Electric Boogaloo” ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ “Radio” (ภายหลังชื่อ “Radiotron”) ใน LA’ Breakin’ หรือ Breakdance’ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That’s Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน “บีบอย” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป…….
 
คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง”เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)–นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า”Charlie Rock” อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil’ Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่’Rock Steady Crew’ , ‘NYC Breakers’ , ‘Dynamic Rockers’ , ‘United StatesBreakers’ , ‘Crazy Breakers’ , ‘Floor Lords’ , ‘Floor Masters’ , ‘IncredibleBreakers’ , ‘Magnificent Force’ ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ–Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ “Style Wars” และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น “Roxy” คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ “Flashdance” เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ “Buffalo Gals” ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง”Wild Style” ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง”Beat Street” เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน “Swatch Watch NYC Fresh Tour”ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ “Breakin” ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย”Breakin 2: Electric Boogaloo” ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ “Radio” (ภายหลังชื่อ “Radiotron”) ใน LA’ Breakin’ หรือ Breakdance’ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That’s Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน “บีบอย” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป…….
 
คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง”เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)–นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า”Charlie Rock” อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil’ Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่’Rock Steady Crew’ , ‘NYC Breakers’ , ‘Dynamic Rockers’ , ‘United StatesBreakers’ , ‘Crazy Breakers’ , ‘Floor Lords’ , ‘Floor Masters’ , ‘IncredibleBreakers’ , ‘Magnificent Force’ ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ–Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ “Style Wars” และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น “Roxy” คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ “Flashdance” เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ “Buffalo Gals” ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง”Wild Style” ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง”Beat Street” เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน “Swatch Watch NYC Fresh Tour”ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ “Breakin” ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย”Breakin 2: Electric Boogaloo” ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ “Radio” (ภายหลังชื่อ “Radiotron”) ใน LA’ Breakin’ หรือ Breakdance’ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That’s Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน “บีบอย” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป…….
 
คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง”เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)–นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า”Charlie Rock” อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil’ Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่’Rock Steady Crew’ , ‘NYC Breakers’ , ‘Dynamic Rockers’ , ‘United StatesBreakers’ , ‘Crazy Breakers’ , ‘Floor Lords’ , ‘Floor Masters’ , ‘IncredibleBreakers’ , ‘Magnificent Force’ ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ–Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ “Style Wars” และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น “Roxy” คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ “Flashdance” เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ “Buffalo Gals” ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง”Wild Style” ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง”Beat Street” เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและใ
คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง”เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)–นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า”Charlie Rock” อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil’ Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่’Rock Steady Crew’ , ‘NYC Breakers’ , ‘Dynamic Rockers’ , ‘United StatesBreakers’ , ‘Crazy Breakers’ , ‘Floor Lords’ , ‘Floor Masters’ , ‘IncredibleBreakers’ , ‘Magnificent Force’ ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ–Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ “Style Wars” และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น “Roxy” คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ “Flashdance” เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ “Buffalo Gals” ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง”Wild Style” ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกคำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง”เบรกกิ้ง” เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)–นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า”Charlie Rock” อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil’ Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่’Rock Steady Crew’ , ‘NYC Breakers’ , ‘Dynamic Rockers’ , ‘United StatesBreakers’ , ‘Crazy Breakers’ , ‘Floor Lords’ , ‘Floor Masters’ , ‘IncredibleBreakers’ , ‘Magnificent Force’ ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ–Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ “Style Wars” และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น “Roxy” คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ “Flashdance” เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ “Buffalo Gals” ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง”Wild Style” ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง”Beat Street” เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน “Swatch Watch NYC Fresh Tour”ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ “Breakin” ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย”Breakin 2: Electric Boogaloo” ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ “Radio” (ภายหลังชื่อ “Radiotron”) ใน LA’ Breakin’ หรือ Breakdance’ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That’s Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน “บีบอย” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป…….
 โปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง”Beat Street” เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน “Swatch Watch NYC Fresh Tour”ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ “Breakin” ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย”Breakin 2: Electric Boogaloo” ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ “Radio” (ภายหลังชื่อ “Radiotron”) ใน LA’ Breakin’ หรือ Breakdance’ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That’s Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน “บีบอย” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป…….
 นช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน “Swatch Watch NYC Fresh Tour”ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ “Breakin” ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย”Breakin 2: Electric Boogaloo” ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ “Radio” (ภายหลังชื่อ “Radiotron”) ใน LA’ Breakin’ หรือ Breakdance’ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That’s Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน “บีบอย” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป…….
 –Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ “Style Wars” และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น “Roxy” คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ “Flashdance” เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ “Buffalo Gals” ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง”Wild Style” ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง”Beat Street” เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน “Swatch Watch NYC Fresh Tour”ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ “Breakin” ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย”Breakin 2: Electric Boogaloo” ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ “Radio” (ภายหลังชื่อ “Radiotron”) ใน LA’ Breakin’ หรือ Breakdance’ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That’s Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน “บีบอย” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป…….

ตะกร้อ



ดร.ชาญชัย ปิดตะกร้อลีกอาชีพ คูาชิงทีมกทม.กรุงเทพธนบุรี ดวลแข้งทีมจ.ชลบุรี เพื่อคว้าเงินรางวัล 1.5 ล้านบาท อันดับ 2 รับ 700,000 บาทพร้อมโชว์ชุดแสดงมากมาย ถ่ายทอดสดช่องกีฬา ที.สปอร์ต ผู้ว่ากทม.และพล.ต.จารึก คณะกรรมการสมาคมตะกร้อร่วมพิธีด้วย.
ผศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ในฐานะประธานจัดการแข่งชขันตะกร้ออาชีพ ไทยแลนด์ลีก ครั้งที่ 11 ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การแข่งขันตะกร้อลีกอาชีพฯมีทีมเข้าร่วมแข่งขันอยู่ 10 ทีมคือ จ.ชลบุรี,จ.ระยอง,จ.แพร่,จ.นครราชสีมา,จ.ศรีสะเกษ,จ,ราชบุรี,จ.กาฬสิน,จ.นครปฐม,จ.ร้อยเอ็ดและกรุงเทพมหานคร-ม.ธนบุรี การแข่งขันได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว และจะมีการชิงชนะเลิศระหว่างทีมกรุงเทพมหาคร(ม.กรุงเทพธนบุรี)กับทีมจ.ชลบุรี ในเวลา 15.00 น.วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ.2555 ที่อาคารชาญชัย อเคเดี่ยม ภายในมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยมีท ดร.ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง อดีตรมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ประธานมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นประธานในพิธีปิดการแข่งขัน และมอบถ้วยรางวัลทีมชนะเลิศ 1.5 ล้านบาท ทีมรองชนะเลิอศ ได้รางวัล 700,000 บาท และอันดับ 3ได้รับเงินรางวัล 400,000 บาทพร้อมกันนี้ นายกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่ากกท.และพล.ต.จารึก อารีราชการัณย์นายกสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการสมาคมฯร่วมพิธีปิดด้วย
ผศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล ยังกล่าวอีกว่า ในพิธีปิดการแข่งขันจะมีการแสดงของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี่โพลีกรุงเทพ(โพลีเทคนิค)ในชุดต่างๆหลายชุดด้วยกัน โดยการควบคุมของอ.ดวงฤทธิ์ท เบ็ญจาธิกุล  ช ัยรุ่งเรืองถ่ายทอดสดโดยสถานีโทรทัศน์กีฬา ที.สปอร์ต จนจบการแข่งขันแฟนๆกีฬาตะกร้อชมกันได้เปิดให้ชมฟรีสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร, 02-800–6800 ถึง 5 ทุกวัน

กีฬาระบำใต้น้ำ
กีฬาระบำใต้น้ำ เป็นกีฬาที่มีลักษณะผสมผสมนระหว่างกีฬาว่ายน้ำกับลีลา นักกีฬาจึงต้องมีทักษะกีฬาหลายชนิด ได้แก่ว่ายน้ำ ยิมนาสติก บัลเล่ย์ และอื่นๆ มาประกอบกันเพื่อให้การเล่นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ในการแข่งขันแบ่งเป็น
  • ประเภทเดี่ยว มีนักกีฬา 1 คน (Solo)
  • ประเภทคู่ มีนักกีฬา 2 คน (Duet)
  • ประเภททีม มีนักกีฬา 8 คน (Team)
  • ประเภท Free combination มีนักกีฬา 10 คน (เป็นการผสมผสานประเภทที่ 1-3 ไว้ด้วยกัน)

การซ้อม

_1292[1].jpg

สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี โชว์สปิริตเกินร้อยหลังลงซ้อมท่ามกลางสายฝน ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ชม.ของการฝึกซ้อม  ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยมีแฟนบอลแห่เข้ามาให้กำลังใจหลายพันคนทีเดียว พร้อมคาด โบอาส ใช้ระบบ 4-3-3 ดวลออลสตาร์


เวลาประมาณ 19.00 น. สโมสรเชลซี ได้มาฝึกซ้อมเตรียมความพร้อม ต่อหน้า สาธารณชน ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ตามกำหนดการเดิมอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการแจ้งมาว่า อาจจะเลื่อนซ้อมเป็นเวลา 18.30 น. เนื่องจากสภาพอากาศไม่เป็นใจ โดยมีฝนโปรยปราย แต่อย่างไรก็ตามก็ยังสามารถลงซ้อมได้ตามเวลาเดิมอย่างไม่มีปัญหา ส่วนบรรยากาศในสนามแฟนบอลหลายพันคน เข้ามารอชมการฝึกซ้อมของทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" ตั้งแต่เวลาประมาณ17.00 น. โดยที่นั่งอัฒจันทร์ฝั่งมีหลังคา ต่างถูกจับจองกันเกือบทุกที่นั่ง


เช็กนำทัพลงซ้อมชุดแรก
ผู้เล่นชุดแรกที่ออกมาเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอล นั้นได้ แก่ ผู้รักษาประตู สี่รายที่ติดมาทีมชุดนี้ ได้แก่ ปีเตอร์ เช็ก , เอ็นริเก้ อิลาริโอ , รอสส์ เทิร์น บูลล์ และ จามาล แบล็คแมน ซึ่งนำมาโดย อังเดร วิลลาส โบอาส เทรนเนอร์คนเก่ง และมือขวาอย่าง โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ  โดยทั้งสี่คนนั้นได้ซ้อมกันเบา ๆ ในบริเวณสนาม


เทอร์รี่,ตอร์เรสเรียกเสียงฮือฮา
หลังจากนั้น บรรดาผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ทยอยลงสนาม โดยคนที่ได้รับเสียงเชียร์กจากบรรดาแฟนบอลดังกระหึ่งก็คือ จอห์น เทอร์รี่ , แฟร้งค์ แลมพาร์ด และ ดิดิเยอร์ ดร็อกบา สตาร์ดังของทีม แต่ว่าคนที่ได้รับเสียงเชียร์มากที่สุดก็คือ เฟร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงค่าตัว 50 ล้านปอนด์ (2,500 ล้านบาท) ที่ออกมาจากอุโมงค์นักเตะเป็นคนสุดท้าย


แข้งสิงห์บลูไม่หวั่นแม้ซ้อมกลางสายฝน
สำหรับการซ้อมของ พลพรรค "สิงห์บลูส์" นั้นเริ่มต้นด้วยการให้ บรรดาผู้เล่นนั้นวิ่งวอร์มเบา ๆ ส่วนบรรดาผู้รักษาประตูนั้นจะแยกซ้อมกันอีกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม พอการซ้อมเริ่มไปซักพัก ก็มาเจออุปสรรคครั้งใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีสายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้บรรดาแฟนบอลต้อง หาที่หลบฝนกันยกใหญ่ แต่ว่าบรรดานักเตะ และทีมงานก็ยัง ซ้อมกันต่อไปตามเมนูการฝึกที่วางเอาไว้


แฟนบอลนับพันไม่หนีแม้เจอฝนเล่นงาน
การฝึกซ้อมในครั้งนี้เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะพลพรรค "สิงโตน้ำเงินคราม" ต้องซ้อมอยู่ท่ามกลางสายฝนตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของการฝึกซ้อม โดยแฟนบอลหลายพันคงนั้นก็ยังคงปักหลักอยู่ส่งเสียงเชียร์ให้กับนักเตะ เชลซี ตลอดเวลาและไม่มีถอยแม้จะเจอพิษฝนเล่นงานก็ตาม

การแข่งขันเชลซี


รายงานผลการแข่งขัน: เชลซี 2 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 0

รายงานผลการแข่งขัน: เชลซี 2 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 0

โพสเมื่อ : อาทิตย์ 26 สิงหาคม 2012 03:03

ทัพ “สิงห์บลูส์” รักษาตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แม้ว่าได้ลงสนามมากกว่าคู่ปรับของเรา หลังเอาชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดได้ 2-0
ซึ่งเป็นการชนะรวดนัดที่ 3 ในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์
ทีมเล่นได้ในฟอร์มที่น่าประทับใจโดยเฉพาะก่อนพักครึ่งเวลาที่เราทำประตูได้สำเร็จจาก เอด็อง อาซาร์ และเฟร์นานโด ตอร์เรส
 ที่ทำให้เราเริ่มต้นได้ดีกว่า
อาซาร์ ยิงประตูเบิกร่องได้จากจุดโทษในนาทีที่ 21 โดยซัดเสียบมุมผ่าน ทิม ครูล เข้าไปหลังจากที่ ตอร์เรส โดนวูร์นอน อนิต้า
 สอยในเขตโทษ
มันเป็นประตูที่เราสมควรได้ถ้ามองจากผลงาน และก่อนพักครึ่งเราก็หนีห่างออกไปอีก โดยคราวนี้ อาซาร์ ไหลบอลให้
 ตอร์เรส ซัดเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างสวยาม
ในครึ่งหลังโอกาสลุ้นทำประตูมีน้อย แต่เราก็สมควรได้ 3 คะแนนอย่างไม่ต้องสงสัยกับชัยชนะนัดแรกของเราเหนือนิวคาสเซิล
ที่เดอะ บริดจ์ ตั้งแต่ฤดูกาล 2007/08
ในสัปดาห์หน้าเราจะถูกคั่นโปรแกรมในประเทศด้วยเกมซูเปอร์ คัพ ที่จะพบกับแอตเลติโก มาดริด ก่อนจะกลับมาเล่นในเกมลอนดอนดาร์บี้
กับควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ที่ลอฟตัส โร้ด

ความเคลื่อนไหวของทีม
โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ มีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่น 3 ตำแหน่งจากเกมที่ชนะ เรดดิ้ง 4-2 เมื่อกลางสัปดาห์ โดยกัปตันจอห์น เทอร์รี่ 
พลาดการลงสนามเนื่องจากเจ็บคอ แต่มีดาวิด ลุยซ์​ที่หายกลับเข้ามาจับคู่กับแกรี่ เคฮิลล์ ในแนวรับ แฟรงค์ แลมพาร์ด เป็นตัวสำรองโด
ยมีราอูล เมยเรเลส ลงสนามมาขณะที่ ไรอัน เบอร์ทรานด์ ที่ไม่ได้ลงเล่นเมื่อวันพุธได้เป็นตัวจริงแทนที่รามิเรส ปีเตอร์ เช็ก 
ได้เป็นกัปตันทีมวันนี้เนื่องจากทั้งเทอร์รี่และแลมพาร์ดไม่ได้ลงสนาม ขณะที่เซซาร์ อัซปิลิเกวต้า และวิคเตอร์ โมเซส  2 
นักเตะใหม่ล่าสุดไม่มีชื่อในเกมนี้

ครึ่งแรก
นิวคาสเซิล ไม่แพ้ในเกมลีกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ มา 4 นัดติดต่อกัน แต่ว่าเป็นสิงห์บลูส์ที่เริ่มต้นเกมได้ดีกว่า โดย เบอร์ทรานด์
 และมาตา ประสานงานกันได้ดีทางฝั่งซ้ายในช่วง 3 นาทีแรก แต่ว่านักเตะดาวรุางของเราเปิดบอลแรงเกินไป ขณะที่ราอูล เมยเรเลส 
ได้ลองเติมมายิงไกลข้ามคานออกไป
ตอร์เรส เก็บจังหวะบอลที่เสียได้ก่อนจะลากจี้ใส่แนวรับนิวคาสเซิล ก่อนจะครองบอลแล้วไหลให้ จอห์น มิเคล โอบิ นักเตะที่ไม่ค่อย
มีชื่อเสียงเรื่องการทำประตูยิงข้ามคานออกไป
ทีมเยือนตั้งรับลึกและพยายามจะสวนกลับ และเป็นเดมบ้า บา คนที่ยิงประตูในเกมแรกกับสเปอร์ส ที่ได้โอกาสครั้งแรกด้วยการรับลูกเปิด
จากฮาเต็ม เบน อาร์กฟา แต่วอลเล่ย์ข้ามคานและหลุดกรอบไปไกล
อาซาร์​ซึ่งมีส่วนอย่างมากใน 2 นัดแรก ยังไม่ได้ทำอะไรมากในช่วงแรกแต่ว่าพอถึงนาทีที่ 14 ก็ได้กระชากบอลก่อนซัดไปติดเซฟของ
ครูลที่รับได้อย่างง่ายดาย
อีก 3 นาทีต่อมาทีมของเราได้โอกาสดีที่สุดเมื่อ เมยเรเลส วางบอลจากแนวลึกให้ตอร์เรส เอาบอลลงก่อนไหลให้ เบอร์ทรานด์
ได้ซัดแต่ว่าโดนกดดันจากฟาบริซิโอ โคล็อคชินี่ ทำให้ยิงไปตรงตัวครูล
เกมเริ่มเนือยลงจนกระทั่งนาทีที่ 20 เราก็ได้จุดโทษลูกที่ 3 
ตอร์เรส ซึ่งเล่นได้ตื่นตามากในช่วงแรกกระชากบอลเข้าเขตโทษนิวคาสเซิลก่อนโดนวูร์นอน อนิต้า สอยร่วงลงไป ฟิล ดาวด์ ไม่ลังเลที่
จะให้จุดโทษทนที
และจากการที่คนยิงประจำอย่่างแลมพาร์ดไม่อยู่ในสนาม อาซาร์ จึงขอรับหน้าที่แทนและนักเตะวัย 21 ปีรายนี้ก็ยิงประตูแรกให้กับสโมสร
ได้ด้วยการซัดเรียดอย่างทรงพลังเข้าไปตุงตาข่าย
บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ซึ่งยิงไปแล้ว 2 ประตูในฤดูกาลนี้ยังเกือบจะยิงลูกที่ 3 ได้อีกในช่วงครึ่งชั่วโมงเมื่อได้บอลเปิดจาก แอชลี่ย์ โคล
 ก่อนจะโขกแต่ว่า ครูล เซฟด้อย่างยอดเยี่ยม
เหลืออีก 10 นาทีจะหมดครึ่งแรก เราน่าจะยิงหนีไปอได้อีกจากการขึ้นเกมที่ลื่นไหลทางฝั่งซ้ายซึ่งจบลงด้วยการที่ โคล็อคชินี่ ต้องเคลียร์
บอลครอสสุดอันตรายของ มาตา ที่ได้เปิดหลังอาซาร์ ผ่านบอลมาให้อีกทอด
หลังจากนั้นม้านั่งสำรองของเชลซี ก็นั่งไม่ติดเมื่อตอร์เรส โดนโคล็อคชินี่ สอยร่วงลงไปในเขตโทษหลังลากผ่านกองหลัง
แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ประหลาด และฟิล ดาวด์ ก็กลายเป็นคนที่โดนโห่มากที่สุดในสนามเมื่อเขากลับให้ใบเหลืองตอร์เรสแทน
ปาปิส ซิสเซ่ ซึ่งยิง 2 ประตูในเกมที่พวกเขามาชนะที่เดอะ บริดจ์ 2-0 เมื่อเดือน พ.ค. ยิงเข้ากรอบให้นิวคาสเซิล เป็นครั้งแรกจากจังหวะที่ 
ดาวิด ลุยซ์ พลาดแต่ว่าก็ยิงไปตรงตัว เช็ก
แต่ก่อนหมดครึ่งแรกเราก็นำ 2-0 โดย ตอร์เรส ยิงประตูได้สมควรกับฟอร์มที่เขาเล่นในครึ่งแรก โดยประสานงานกับ อาซาร์ ตรงกรอบเขต
โทษก่อนจะยิงเสียบสามเหลี่ยมด้วยเท้าขวาเข้าไปโดยที่ ครูล หมดสิทธิ์เซฟด้วยประการทั้งปวง

ครึ่งหลัง
ไม่มีการเปลี่ยนตัวจากทั้งสองทีมโดย ดิ มัตเตโอ พอใจกับสิ่งที่เขาได้เห็นใน 45 นาทีแรก
โอกาสแรกในครึ่งหลังเป็นของทีมเยือนที่ต้องการจะไล่ตามมา เบน อาร์กฟา ได้พลิกบอลก่อนจี้เข้าหาเขตโทษแล้วซัดเรียดแต่ว่าหลุ
ดกร
อบอแกไปจากนั้นเกมเริ่มเปิดพร้อมๆกับฟ้าที่เริ่มเปิดหลังฝนกระหน่ำลงมา โดย นิวคาสเซิล ตั้งใจที่จะกลับมาสู่เกมให้ได้ ขณะที่เชลซี
 ก็เน้นสวนกลับหวังปิดเกมให้ได้เช่นกัน
เช็ก ต้องเซฟสวยๆจากโอกาสของ ซิสเซ่ ที่ได้บอลเคลียร์ไม่ขาดจากมิเคลมาเข้าเท้า แต่อีกฟากโยฮัน คาบาย ก็ต้องป้องกันตอร์เรส จากการเปิดของ มาตา 
ผู้จัดการทีมทั้งสองคนเปลี่ยนตัวคนแรกหลังผ่านชั่วโมง โดย รามิเรส ลงมาแทน มาตา เพื่อรักษาสภาพความฟิตไว้ ขณะที่ ไรอัน เทย์เลอร์ ลงมาแทนแดนนี่ ซิมป์สัน ให้กับทีมของอลัน พาร์ดิว
เกมสู้กันกลางสนามโดยแนวรับทั้งสองทีมยังตั้งรับอย่างแข็งขัน และหาโอกาสลุ้นทำประตูกันได้น้อยมาก
ดาวิด ลุยซ์ และเมยเรเลส ได้ซัดฟรีคิกต่อเนื่องกันแต่ว่าข้ามคานออกไป และเมื่อเวลาเหลือน้อย พาร์ดิว ทิ้งไพ่หมดหน้าตักส่ง ซิลแว็ง
 มาร์กโวซ์ และเจมส์ เพิร์ช ลงสนามแทนดาวิดเด้ ซานตอน และคาบาย
เบอร์ทรานด์ เกือบปิดกล่องได้เมื่อซัดเรียดจากนอกกรอบเขตโทษแต่ว่าบอลแฉลบทำให้หลุดกรอบออกไป
เหลืออีก 7 นาที นิวคาสเซิล เกือบจะกลับมาสู่เกมได้เมื่อบา ได้บอลในเขตโทษเชลซี แต่ว่ากองหน้ารายนี้ยิงไปตรงตัวเช็ก ที่เซฟได้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ
แลมพาร์ด ลงสนามแทนเมยเรเลส ในช่วง 3 นาทีสุดท้ายโดย ดิ มัตเตโอ หวังใช้ประสบการณ์ประคองเกม ขณะที่นิวคาสเซิล ยังไม่เลิกหวังเล่นเต็มที่ตลอดทำให้ดาวิด ลุยซ์ ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะหลังปะทะกับบา ในจังหวะสกัดลูกเปิด

ฟุตบอลกลุ่มเชลซี


ประวัติสโมสรฟุตบอลเชลซี

สโมสรฟุตบอลเชลซี (อังกฤษ: Chelsea Football Club) เป็นทีมฟุตบอลในอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดมาแล้ว 4 ครั้ง รวมฤดูกาลล่าสุด (2009-10) เป็นแชมป์ เอฟเอคัพ 9 ครั้ง แชมป์ ลีกคัพ 8 ครั้ง และแชมป์ ยูฟ่าคัพ 10 ครั้ง สนามของเชลซีคือ สแตมฟอร์ดบริดจ์ จุผู้ชมได้ 42,055 คน ตั้งอยู่ในเขตชุมชนฟูแลมบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองลอนดอน ทีมฟุตบอลเชลซีไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตชุมชนเชลซี แต่ตั้งอยู่บนถนนฟูแลม ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมระหว่างเขตฟูแลมและเขตเชลซี

ประวัติ

สโมสรฟุตบอลเชลซีก่อตั้งเมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) ที่ ผับชื่อเดอะไรซิงซัน ตรงข้ามกับสนามแข่งปัจจุบันบนถนนฟูแลม และได้เข้าร่วมกับลีกฟุตบอลในเวลาต่อมา เชลซีเริ่มมีชื่อเสียงภายหลังจากที่ได้รับชัยชนะใน ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1954–55

ปี 1996 แต่งตั้ง รุด กุลลิท(Ruud Gullit) เป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีม เชลซีสามารถคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้ในยุคของกุลลิทนี้

ปี 1997 เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น จิอันลูก้า วิอัลลี่( Gianluca Vialli) โดยเป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมในช่วงแรก ในยุคของวิอัลลี่นี้สามารถทำทีมได้แชมป์ลีกคัพ และ ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพและสามารถเข้าถึงรอบรอง"ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ"ได้เป็นปีทีสองติดต่อกันก่อนที่จะแพ้รีล มายอร์ก้าในปีนั้นทีมที่ได้แชมป์คือ ลาซิโอทีมจากอิตาลีไป ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการจัดการแข่งขัน "ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ"

ปี 2000 จิอันลูก้า วิอัลลี่ถูกปลดออกจากผู้จัดการทีมและแทนที่ด้วย เคลาดิโอ รานิเอรี(Claudio Ranieri) เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ในยุคของรานิเอรีนั้น เชลซีมีผลงานติดห้าอันดับแรกของของพรีเมียร์ลีกอย่างสม่ำเสมอ

มิถุนายน ปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ.2003) โรมัน อบราโมวิช เข้าซื้อกิจการต่อจากเคน เบตส์(Ken Bates) ในราคา 140 ล้านปอนด์ หลังการเข้าซื้อกิจการของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เคลาดิโอ รานิเอรีซึ่งเป็นผู้จัดการทีมในขณะนั้นยังคงได้คุมทีมต่อไป ภายใต้การเปลี่ยนแปลงทีมอย่างมากมาย มีการซื้อนักเตะชื่อดังหลายรายเข้ามาเสริมทีมโดยใช้เงินไปอีกมากมายกว่าร้อยล้านปอนด์ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขันเชลซีไม่คว้าแชมป์ใดมาได้เลย สามารถทำอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก และ เข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เมื่อจบฤดูกาลแรกหลังจากเข้าซื้อกิจการของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ทางทีมจึงได้ปลด เคลาดิโอ รานิเอรี่ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และได้เซ็นสัญญาให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ( José Mourinho)เป็นผู้จัดการทีมต่อมา

ปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งสร้างสีสันให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษในสมัยนั้นเป็นอย่างมากกับบทสัมภาษณ์และทัศนะของ มูริญโญ่เอง

ปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ.2005) ได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกหลังจาก โรมัน อบราโมวิช เข้าซื้อกิจการของสโมสร และครบร้อยปีจากการตั้งสโมสร

ปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งสองสมัยติดต่อกัน

20 กันยายน พ.ศ. 2550 มูรินโญ่ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง หลังจากทำผลงานไม่ดี 3 นัดติดต่อกัน แพ้ แอสตันวิลลา 0-2 เสมอแบล็กเบิร์นโรเวอร์ส 0-0 และไล่ตีเสมอโรเซนบอร์ก 1-1 [1] และเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น อัฟราม แกรนท์ (Afram Grant)

11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 สิ้นสุดฤดูกาลแรกของ อัฟราม แกรนท์ ไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ หลังจากรับงาน อัฟราม แกรนท์ พาทีมเชลซีต่อสู้แย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนถึงนัดสุดท้าย แต่ไม่สามารถทำได้โดยนัดสุดท้ายทำได้เพียงเสมอกับ โบลตัน (Bolton)1-1 โดยถูกตีเสมอในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน สิ้นสุดฤดูกาลเชลซีทำแต้มได้ 85 แต้ม โดยแชมป์(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)ทำได้ 87 แต้ม



21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เข้าชิงแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสร กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย ในเวลา 120 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องเตะลูกจุดโทษตัดสิน เชลซีแพ้ไป 10-9 ประตู

24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ผู้บริหารสโมสรมีมติปลดอัฟราม แกรนท์ ออกจากตำแหน่ง

1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 สโมสรเชลซีแต่งตั้ง หลุย เฟลิปเป้ สโกลารี่ ขึ้นเป็นกุนซือเชลซีอย่างเป็นทางการ

9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 สโกลารี่ทำผลงานได้ไม่ดี หลังจากนำทีมเสมอต่อ ฮัลล์ 1-1 ตามหลังแมนฯ ยูผู้นำอยู่ 7 แต้ม ผู้บริหารสโมสรได้มีมติปลดออกจากตำแหน่ง

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มติสโมสรแต่งตั้ง กุส ฮิดดิ้งค์ กุนซือชาวฮอลแลนด์ผู้จัดการทีมชาติรัสเซียเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยฮิดดิ้งค์จะทำหน้าที่ควบ 2 ตำแหน่ง ทั้งผู้จัดการทีมชาติรัสเซียและผู้จัดการเชลซี และกุส ฮิดดิ้งค์ นี้พาเชลชี คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 5 โดยเอาชนะเอฟเวอร์ตันในนัดชิงชนะเลิศ

1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 สโมสรเชลซีแต่งตั้ง คาร์โล อันเชล็อตติ ขึ้นเป็นกุนซือเชลซีอย่างเป็นทางการ

ปี พ.ศ. 2553 ได้แชมป์พรีเมียร์ชิพ นับเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 4

ปี พ.ศ. 2553 คว้า ดับเบิ้ลแชมป์ เป็นครั้งแรก ของสโมสร โดยคว้า แชมป์ พรีเมียร์ลีก และ FA-CUP

สแตมฟอร์ดบริดจ์

สแตมฟอร์ดบริดจ์ (Stamford Bridge) เป็นสนามฟุตบอลแห่งเดียวของเชลซีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาตั้งอยู่ในเขตฟูแลม ในลอนดอน โดยเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2420 โดยในช่วง 28 ปีแรกที่เปิดใช้ ได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของสนามกรีฑาด้วย สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสกอต บรรจุคนได้กว่า 42,000 คน

แบดมินตัน


แบดมินตัน


สหพันธ์แบดมินตันนานาชาติ ( IBF) ได้กำหนดให้ ทดลองใช้ระบบการนับคะแนนการแข่งขันกีฬาแบดมินตันใหม่ ในระบบ Rally Point เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2549 และปัจจุบันได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ โดยมีสาระสำคัญของกติกาการนับคะแนนสรุปได้ดังนี้
1. แมทช์หนึ่งต้องชนะให้ได้มากที่สุดใน 3 เกม
2. ทุกประเภทของการแข่งขัน ฝ่ายที่ได้ 21 คะแนนก่อนเป็นฝ่ายชนะในเกมนั้น ยกเว้นเมื่อได้ 20 คะแนนเท่ากันต้องนับต่อให้มีคะแนน
ห่างกัน 
2 คะแนน ฝ่ายใดได้คะแนนนำ 2 คะแนนก่อนเป็นผู้ชนะ แต่ไม่เกิน 30 คะแนน หมายความว่าหากการเล่นดำเนินมาจนถึง 29 คะแนนเท่ากันฝ่ายใดได้ 30 คะแนนก่อน เป็นผู้ชนะ
3. ฝ่ายชนะเป็นฝ่ายส่งลูกต่อในเกมต่อไป
4. ฝ่ายชนะการเสี่ยงสิทธิ์เป็นฝ่ายส่งลูกได้ก่อน หากฝ่ายตรงข้ามทำลูก "เสีย" หรือลูกไม่ได้อยู่ในการเล่น ผู้เลือกส่งลูกก่อนจะได้คะแนนนำ 1-0 และได้ส่งลูกต่อ แต่หากผู้ส่งลูกทำลูก "เสีย" หรือลูกไม่อยู่ในการเล่น ฝ่ายตรงข้ามจะได้คะแนนตามมาทันทีเป็น 1-1 และฝ่ายตรงข้ามจะได้สิทธิ์ส่งลูกแทน ดำเนินเช่นนี้ต่อไปจนจบเกม
5. ประเภทคู่ให้ส่งลูกฝ่ายละ 1 ครั้ง ตามคะแนนที่ได้ ขณะที่เปลี่ยนฝ่ายส่งลูก หากคะแนนเป็นจำนวนคี่ ผู้อยู่คอร์ดด้านซ้ายเป็นผู้ส่งลูก หากคะแนนเป็นจำนวนคู่ผู้อยู่คอร์ดด้านขวาเป็นฝ่ายส่งลูก
หมายเหตุ ศึกษากติกาโดยละเอียดได้ที่เว็บไซต์ สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์